โธมัส แฟรงก์ ขอเวลา ไม่ขอข้ออ้าง หลังสเปอร์สแพ้ฟอเรสต์ 0-3 และคำถามเรื่องอนาคตเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ufa169

โธมัส แฟรงก์

โธมัส แฟรงก์ พูดถึงอนาคตของเขากับท็อตแนม: คาดหวังได้ว่าต้องใช้เวลา ‘ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ในพริบตา’ ufa169

เกมที่คุณแพ้ 0-3 ในพรีเมียร์ลีก มันไม่ใช่แค่คะแนนที่หายไป แต่มันคือ “ภาพจำ” ที่ติดอยู่ในสายตาแฟนบอลไปอีกนาน และนี่คือสิ่งที่ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ต้องเผชิญ หลังบุกไปแพ้น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์แบบหมดรูป 0-3 ในเกมที่ทั้งจังหวะเล่น ความมั่นใจ และความเฉียบคม พังลงพร้อมกันอย่างน่าใจหาย หลังเสียงนกหวีดจบเกม โธมัส แฟรงก์ กุนซือคนใหม่ของสเปอร์ส (ตามบทความต้นทาง) ไม่ได้หลบเลี่ยงคำถาม เขายืนรับไมค์ด้วยท่าทีที่พยายามนิ่งที่สุด และย้ำประโยคที่เหมือนเป็น “แก่น” ของสถานการณ์ทั้งหมดว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ในคืนเดียว ไม่มี “ควิกฟิกซ์” และเขาคาดหวังว่าจะได้รับ “เวลา” เพื่อพลิกทีมกลับมา

คำพูดฟังดูเรียบ แต่ความจริงมันแทงใจแฟนบอลอย่างแรง เพราะสำหรับสโมสรใหญ่อย่างสเปอร์ส คำว่า “ให้เวลา” มักตามมาด้วยคำถามเดิม ๆ เสมอว่า แล้วต้องให้แค่ไหน ถึงจะเห็นว่าทีมดีขึ้นจริง ไม่ใช่แค่พูดสวย ๆ หลังแพ้

เกมที่เริ่มจากความผิดพลาดเล็ก ๆ แล้วลุกลามเป็นความพังทั้งทีม

เหตุการณ์สำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเกมนี้ คือประตูแรกของฟอเรสต์ที่เกิดจากความผิดพลาดตอนสเปอร์สพยายาม “เล่นบอลจากหลัง” ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายทีมเลือกใช้ในยุคปัจจุบัน แต่เมื่อมันพลาด ผลลัพธ์มักรุนแรงกว่าการเตะทิ้งธรรมดาหลายเท่า

จังหวะนั้นเริ่มจากการพยายามต่อบอลภายใต้ความกดดัน ก่อนที่ความผิดพลาดจะเปิดพื้นที่ให้ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ฉกฉวยโอกาสได้ทันที และยิงลงโทษแบบไม่ปรานี ประตูนี้ไม่ใช่แค่ทำให้สเปอร์สตามหลัง แต่ทำให้ทั้งทีม “เสียทรง” ทางจิตวิทยาทันที เพราะการเสียประตูจากความผิดพลาดของตัวเอง มันทำให้ผู้เล่นเริ่มลังเลในสิ่งที่กำลังทำ

แถมฮัดสัน-โอดอยยังมีบทบาทต่อเนื่อง เมื่อเขายิงอีกประตูจากลูกเปิดที่เหมือนจะเป็นครอสยาวเกินไป แต่กลับกลายเป็นบอลที่สร้างปัญหาให้ผู้รักษาประตู กูเยลโม่ วิคาริโอ ซึ่งถูกจับภาพว่า “ยืนพลาดตำแหน่ง” จนบอลลอยเข้าประตูไปแบบชวนอึ้ง

สเปอร์สที่ตามหลัง 0-2 เริ่มเล่นเหมือนคนใจลอย ความแน่นอนหายไป การตัดสินใจช้าลง เกมรุกต่อไม่ติด เกมรับเริ่มถอยลึก และเมื่อทีมกำลังมึนงง ประตูที่สามก็มาเหมือนค้อนปิดฝาโลง

ประตูมหัศจรรย์ของซังกาเร่ กับช่วงเวลาที่สเปอร์สแทบไม่เหลืออะไรให้ยึด

อิบราฮิม ซังกาเร่ ยิงประตูที่ถูกเรียกว่า “วันเดอร์โกล” ในเกมนี้ และมันเป็นประตูที่ทำให้ทุกอย่างจบจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพราะความสวยงามของลูกยิง แต่เพราะมันสะท้อน “สภาพของสเปอร์ส” ในช่วงเวลานั้นอย่างชัดเจน

วิคาริโอไม่สามารถทำอะไรได้เลยกับลูกยิงนั้น และความจริงคือ ต่อให้ผู้รักษาประตูอยู่ถูกตำแหน่งมากกว่านี้ก็อาจยากจะเซฟ เพราะมันเป็นลูกยิงที่ทั้งแรง ทั้งแม่น และเกิดขึ้นในจังหวะที่แนวรับสเปอร์สปล่อยพื้นที่มากเกินไป

เมื่อสกอร์เป็น 0-3 เกมก็ไม่ใช่เรื่องแท็กติกอีกต่อไป มันกลายเป็นเรื่องของสภาพจิตใจล้วน ๆ และสเปอร์สในวันนั้นดูเหมือนทีมที่ยอมรับชะตากรรมมากกว่าจะสู้แบบไม่ถอย

จากเหมือนจะดีขึ้น กลับแย่ที่สุดภายใต้แฟรงก์

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลสเปอร์สยิ่งเจ็บ คือก่อนหน้านี้สัญญาณดูเหมือนกำลังไปในทิศทางที่ดี ทีมเพิ่งเสมอนิวคาสเซิล และมีชัยชนะเหนือเบรนท์ฟอร์ดกับสลาเวีย ปราก ซึ่งทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกว่า “เมฆหมอกกำลังจาง” และแฟรงก์เริ่มจับจังหวะได้

แต่เกมกับฟอเรสต์กลับเหมือนฉากตัดที่โหดที่สุด เพราะมันทำให้ทุกความหวังที่เพิ่งก่อตัว ถูกดึงกลับลงมาอย่างรวดเร็ว แฟรงก์เองก็ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมว่า “วันนี้เป็นฟอร์มที่แย่มาก ไม่มีสองทาง”

คำพูดนี้สำคัญ เพราะมันแสดงว่าเขาไม่พยายามปัดความรับผิดชอบ ไม่พยายามบอกว่าแพ้เพราะโชคร้ายหรือเพราะกรรมการ แต่ยอมรับว่า “เราห่วยจริง” ซึ่งในมุมหนึ่งมันทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าอย่างน้อยผู้จัดการทีมมองเห็นปัญหาตรงกัน ไม่ได้หลอกตัวเอง

“ข้างในผมมีพายุ” ประโยคที่เผยตัวตนแฟรงก์ในวันที่ต้องนิ่งให้ได้

ประโยคที่ถูกพูดถึงมากที่สุดหลังเกม อาจไม่ใช่เรื่องแท็กติก แต่เป็นคำบอกเล่าของแฟรงก์เกี่ยวกับอารมณ์ตัวเอง

เขาบอกว่า แม้เขาจะดูนิ่ง ดูเย็น แต่จริง ๆ แล้วข้างในมี “พายุเฮอริเคน” เพราะมันน่าหงุดหงิดและน่าผิดหวังมากที่ทีมทำไม่ได้ดี หลังเพิ่งมีสามผลงานที่ดูดีขึ้นมา

นี่คือภาษาของโค้ชที่พยายามควบคุมสถานการณ์ เขาเลือกนิ่งเพื่อให้คำพูดของเขา “มีน้ำหนัก” และเพื่อให้ผู้เล่นไม่สับสนว่าเขาคิดอะไร เพราะในช่วงวิกฤต สิ่งที่ทีมต้องการไม่ใช่การระเบิดอารมณ์ทุกครั้ง แต่คือข้อความที่ชัด ตรง และเกิดในเวลาที่เหมาะสม

แฟรงก์ย้ำว่าการนิ่งไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึก แต่แปลว่าเขาเลือกจะ “จัดการความรู้สึก” เพื่อไม่ให้มันทำลายการตัดสินใจที่ต้องคมในช่วงเวลาสำคัญ

เรื่อง “เวลา” และความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน

เมื่อถูกถามว่าเขาจะได้รับเวลามากพอไหมในการทำทีมให้เป็นแบบที่เขาต้องการ แฟรงก์ตอบทันทีว่า “ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมจะไม่ได้” และเสริมว่ามันชัดเจนมากว่า ถ้าไม่มีใครได้เวลา ก็ไม่มีใครสามารถพลิกสถานการณ์แบบนี้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้เร็ว

เขายอมรับด้วยว่า ไม่มีใครอยากได้ยินประโยคนี้ โดยเฉพาะหลังแพ้ยับ แต่เขายืนยันว่า “มันคือความจริง” และเขาก็พยายามซื่อสัตย์กับสถานการณ์ ไม่หลอกแฟนบอลว่าทุกอย่างจะดีขึ้นสัปดาห์หน้าแน่ ๆ

นี่เป็นจุดที่ทำให้คนดูต้องคิดตาม เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ค่อยให้เวลาผู้จัดการทีมมากนัก แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ให้เวลา ระบบก็ไม่มีวันถูกฝังราก ผู้เล่นไม่มีวันซึมซับ และทีมก็จะวนลูปเดิม คือเปลี่ยนโค้ชแล้วเริ่มใหม่ซ้ำ ๆ

แฟรงก์ยังพูดถึงความไม่สม่ำเสมอของทีมว่าเป็นปัญหาที่สะสมมานาน และเขากำลังทำงานหนักเพื่อแก้มัน ซึ่งเป็นประโยคที่ฟังแล้วเหมือนง่าย แต่ทำจริงยากมาก เพราะ “ความสม่ำเสมอ” คือสิ่งที่ต้องใช้ทั้งระบบ ความมั่นใจ และรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทีมต้องทำถูกซ้ำ ๆ จนกลายเป็นนิสัย

วิคาริโอไม่ควรถูกโทษ? แฟรงก์ปกป้องแนวคิดเล่นจากหลัง แต่ชี้ว่าต้องเรียนรู้รายละเอียด

แม้ประตูแรกจะเริ่มจากจังหวะจ่ายบอลที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมตกอยู่ภายใต้ความกดดัน แฟรงก์เลือกจะ “ไม่โทษ” วิคาริโอ เขาบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกสัปดาห์ในพรีเมียร์ลีก และเกิดกับทุกทีมทั่วโลก

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า มันเป็นจังหวะคลาสสิกของการต่อบอลจากหลัง คือบอลถูกเล่นไปยังหนึ่งใน “ตัวรับสองคน” แล้วจังหวะถัดไปต้องตัดสินใจให้ถูก เช่น เล่นแบบสัมผัสเดียวเพื่อหลบแรงกดดัน แทนที่จะจับบอลเพิ่มจนโดนบีบ

แฟรงก์ยังทิ้งท้ายแบบมีนัยว่า “คุณเรียนรู้จากมันได้” และเขาเชื่อว่าครั้งหน้า นักเตะคนนั้นจะเลือกใช้หนึ่งจังหวะมากขึ้น ซึ่งบอกเป็นนัยว่า เขาไม่ปฏิเสธแนวทาง แต่ต้องการให้ทีมทำมันแบบมีคุณภาพมากกว่าเดิม

นี่คือความต่างของคำว่า “เล่นบอลจากหลัง” แบบทีมชั้นนำ กับการทำแบบฝืน ๆ เพราะทีมที่เล่นแบบนี้ได้จริง ต้องมีคุณภาพการยืนตำแหน่ง การเคลื่อนที่รองรับ และการตัดสินใจที่เร็วมาก ทุกคนต้องรู้ว่าบอลจะไปทางไหนก่อนที่บอลจะมาถึงเท้า และถ้าช้ากว่าคู่แข่งครึ่งจังหวะ พรีเมียร์ลีกจะลงโทษทันที

ฝั่งฟอเรสต์: ฌอน ไดช์บอกนี่คือเกมดีที่สุด เพราะ “สมดุลของการเล่น”

ในขณะที่สเปอร์สพัง ฟอเรสต์กลับดูเหมือนได้ชีวิตใหม่ภายใต้กุนซือใหม่ ฌอน ไดช์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเป็นระบบและความจริงจังแบบไม่ปรุงแต่ง

ไดช์บอกว่านี่น่าจะเป็น “ฟอร์มดีที่สุด” ของทีมเขา เพราะสมดุลของการเล่นดีมาก เวลาโดนบุกก็ป้องกันได้ เวลาเล่นได้ก็เล่น และเมื่อจำเป็นต้องเคลียร์บอลหรือทำเรื่องพื้นฐาน ก็ทำได้ถูกต้อง

นี่คือคำอธิบายสไตล์ไดช์ชัด ๆ เพราะเขาไม่ได้ยกย่องแค่ประตูสวย ๆ แต่ยกย่อง “วินัย” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมหนีตกชั้นหรือทีมกลางตารางต้องมีเพื่ออยู่รอด

และผลของความมีวินัยนี้ คือฟอเรสต์ขยับหนีโซนตกชั้นไปอีก 5 แต้ม ซึ่งเป็นระยะห่างที่สำคัญมากในช่วงฤดูกาลที่คะแนนบีบกันแน่น

แม้เป็นคนจริงจัง ไดช์ยังเผลอเฮประตูซังกาเร่… แล้วก็แซวตัวเองเรื่อง VAR

อีกสีสันหลังเกมคือ ไดช์ที่ปกติภาพลักษณ์ค่อนข้างเข้มและเรียบ ๆ กลับเหมือนจะ “หลุดดีใจ” กับประตูสุดสวยของซังกาเร่ แต่เขาก็ยังเล่นมุกตามสไตล์ตัวเองว่า ต้องไปดูภาพย้อนหลัง และอาจต้องให้ VAR เช็กด้วยว่าเขาเผลอเข้าไปยุ่งกับ “ความไร้สาระ” แบบนั้นหรือเปล่า

มุกนี้ทำให้เห็นว่า ต่อให้เป็นคนคุมโทนเข้มแค่ไหน ประตูระดับนั้นก็ทำให้เผลออินได้เหมือนกัน และมันยิ่งตอกย้ำว่าฟอเรสต์ไม่ได้ชนะเพราะสเปอร์สพลาดอย่างเดียว แต่พวกเขาก็มีช่วงเวลาคุณภาพจริง ๆ ที่เปลี่ยนเกม

บทสรุป: สเปอร์สต้องเลือกให้ถูกว่า “จะอดทนกับกระบวนการไหม” หรือจะวนลูปเดิมอีกครั้ง

เกมนี้ทำให้คำถามเรื่องอนาคตของโธมัส แฟรงก์ดังขึ้นตามธรรมชาติ เพราะแฟนบอลสเปอร์สผ่านความไม่สม่ำเสมอมาหลายยุค และทุกครั้งที่แพ้หนัก ก็จะมีเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนอะไรสักอย่างทันที

แต่แฟรงก์เลือกพูดตรง ๆ ว่าเขาต้องการเวลา และไม่มีวิธีลัด เขายอมรับความจริงว่าแฟนบอลไม่อยากได้ยิน แต่มันคือความจริงที่เขาต้องยืนอยู่กับมัน

จากมุมฟุตบอลล้วน ๆ สิ่งที่สเปอร์สต้องทำต่อจากนี้ไม่ใช่แค่ซ้อมให้หนักขึ้น แต่ต้อง “ทำให้รายละเอียดเล็ก ๆ ถูกต้องซ้ำ ๆ” โดยเฉพาะในจังหวะเล่นจากหลัง การยืนตำแหน่งเมื่อโดนเพรส และการรักษาความนิ่งหลังเสียประตู เพราะเกมระดับพรีเมียร์ลีก ถ้าคุณพลาดเพียง 1-2 ครั้ง คู่แข่งพร้อมยิงให้คุณเจ็บทันที

หากสเปอร์สเลือกจะให้เวลาแฟรงก์จริง ๆ เกมแบบนี้ต้องกลายเป็น “บทเรียน” ไม่ใช่ “แผลเดิม” และถ้าแฟรงก์ทำได้ตามที่พูด ทีมก็อาจค่อย ๆ เปลี่ยนจากทีมที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปเป็นทีมที่มีโครงสร้างชัดเจน

แต่ถ้าไม่ให้เวลา… ทุกอย่างก็อาจกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่เหมือนเดิม และนั่นอาจเป็นสิ่งที่แฟนบอลสเปอร์สเหนื่อยที่สุดแล้ว

ฟุตบอลไม่มีทางเปลี่ยนในคืนเดียว แต่ทุกความพ่ายแพ้มี “รหัสลับ” ให้ทีมที่ฉลาดพอแกะมันออกมา ถ้าคุณชอบอ่านเกมแบบลึก เห็นจุดเปลี่ยนก่อนคนอื่น เก็บบทเรียนนี้ไว้ แล้วค่อยกลับมาดูคำตอบกับ ufa169